เกษตรสวนยางตรังพลิกวิกฤติ ฟาร์มเลี้ยงกวางรายใหญ่แห่งเดียวของ จ.ตรัง เพาะเลี้ยงกวาง พันธุ์ผสม เลี้ยงง่าย ขายได้ราคาดี ทำเงินปีละหลายแสน
เกษตรสวนยางตรังพลิกวิกฤติ หันมาทำฟาร์มเลี้ยงกวางรายใหญ่แห่งเดียวของ จ.ตรัง เพาะเลี้ยงกวางพันธุ์ผสม(กวางรูซ่าผสมกวางม้า) เลี้ยงง่าย ขายได้ราคาดี ปีหนึ่งจะขายกวางได้ ประมาณ 30-40 ตัว (กิโลกรัมละ 300-400 บาท) ทำเงินปีละหลายแสน
นายอำนวย เพชรอินทร อายุ 58 ปี เจ้าของฟาร์มเลี้ยงกวางรายใหญ่แห่งเดียวของ จ.ตรัง ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ หมู่ 5 ต.หนองตรุด เปิดเผยว่า ตนทำอาชีพเลี้ยงกวางมาประมาณ 15 ปีแล้ว โดยใช้พื้นที่หมดประมาณ 170 กว่าไร่
ปัจจุบันมีกวางที่เลี้ยงอยู่ประมาณ 200 กว่าตัว โดยราคาขายกวางทั้งตัวจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 300 บาท หากต้องการนำไปเลี้ยง จะขายในราคากิโลกรัมละ 400 บาท โดยจะเลือกกวางที่มีอายุประมาณ 1-2 ปี ซึ่งปกติกวางจะโตเต็มที่เมื่อมีอายุได้ 4 ปี โดยจะมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 60 กิโลกรัม
ทั้งนี้ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นชาวจังหวัดพัทลุง และคนในพื้นที่ จ.ตรัง ที่มาติดต่อขอซื้อกวางที่ฟาร์มแห่งนี้ด้วยตนเอง ซึ่งปีหนึ่งจะขายกวางได้ ประมาณ 30-40 ตัว

สำหรับการลงทุนเลี้ยงกวางจะเป็นการลงทุนแบบครั้งเดียว โดยซื้อพ่อพันธุ์แม่พันธุ์มาเพื่อเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ โดยสัตว์ชนิดนี้จะตกลูกปีละหนึ่งตัว ใช้เวลาอุ้มท้องประมาณ 8 เดือน โดยในฟาร์มแห่งนี้จะมีพ่อพันธุ์ 3 ตัว
สำหรับพันธุ์กวางที่เลี้ยงคือพันธุ์ผสม (กวางรูซ่าผสมกวางม้า) เพราะเมื่อก่อน ตนเคยเลี้ยงกวางม้ากับกวางรูซ่า และได้ทำการผสมสายพันธุ์ใหม่นี้ขึ้นจึงได้พ่อพันธุ์ออกมา 1 ตัว สำหรับอาหารกวางจะใช้หญ้าในสวนปาล์ม ใบไม้ต่างๆ เลี้ยงวิธีแบบธรรมชาติและมีแปลงหญ้าในพื้นที่เพื่อให้กวางได้กินหญ้าเป็นอาหาร อีกทั้งขั้นตอนการเลี้ยงก็ไม่ยุ่งยาก โดยมีการถ่ายพยาธิปีละ 2 ครั้ง จากประสบการณ์ที่เพาะเลี้ยงยังไม่พบปัญหาโรคกวางมีเพียงกวางโรคท้องอืดเท่านั้น ซึ่งจะเป็นช่วงที่ฝนตกเมื่อกวางกินหญ้าก็กินน้ำเข้าไปด้วย จึงทำให้ท้องอืด และการที่มีพื้นที่เลี้ยงกวางจำนวนมากทำให้กวางได้ออกกำลังกาย ทำให้กวางมีสุขภาพแข็งแรง
ในแต่ละปีอาจจะเสียลูกกวางที่เกิดใหม่ประมาณ 1-2 ตัวเท่านั้น สาเหตุเกิดจากจากลูกกวางไม่แข็งแรง ทั้งนี้ในด้านการตลาดจะขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจในปัจจุบันยิ่งช่วงนี้ราคายางพาราตกต่ำก็ทำให้ขายกวางได้เรื่อย ๆ แต่หากเศรษฐกิจดีทำให้ไม่มีกวางพอที่จะส่งตลาดในอนาคตอาจจะเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวแต่ต้องดูสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและต้องดูว่าจะคุ้มทุนหรือไม่.“
อ่านต่อที่ : เดลินิวส์